• CoffeeProcessing
  • cafn101
Dec 23, 2020

กว่าจะกลายเป็นเมล็ดกาแฟสีน้ำตาลเข้มที่เรานำมาบดและชงตามวิธีที่เราชอบนั้น เมล็ดกาแฟผลสีเขียวสดที่ค่อยๆ สุกจนแดงก่ำ หรือ กาแฟเชอร์รี (Coffee Cherry) ได้ผ่านเข้าสู่มือของเกษตรกรผู้เก็บเกี่ยว เพื่อเดินทางผ่านกระบวนการแปรรูป Process กาแฟ หรือ Coffee Processing ต่างๆ หลากหลายวิธี เพื่อแยกเมล็ดกาแฟสาร (Green Bean Coffee) ออกจากผลกาแฟ ก่อนนำไปคั่วในระดับต่างๆ จนกลายเป็นเมล็ดกาแฟคั่ว (Roasted Coffee) ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น รอการนำไปสร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มสีดำที่ใครๆ ต่างก็พากันหลงใหล

การเปลี่ยนจากจากเชอร์รีกาแฟสู่เมล็ดกาแฟคั่ว

กว่าจะได้กาแฟรสดีมีคุณภาพนั้น นอกจากสายพันธุ์กาแฟและพื้นที่เพาะปลูกที่ส่งผลต่อรสชาติที่มีเอกลักษณ์แล้ว ขั้นตอนการ Process กาแฟ เป็นอีกหนึ่งกระบวนการสำคัญที่จะส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ

5 กระบวนการแปรรูปกาแฟ หรือ Process กาแฟ ที่นิยมกันในระดับสากล

กระบวนการ Process กาแฟ หรือ Coffee Processing ทั้ง 5 แบบ

1. Natural Process หรือ Dry Process

เป็นกระบวนการ Process กาแฟดั้งเดิมซึ่งเก่าแก่ที่สุดในการทำกาแฟ นิยมในทวีปอเมเริกาใต้และแอฟริกา เช่น เอธิโอเปีย เนื่องจากไม่มีทรัพยากรน้ำมากนัก ใช้เพียงแสงแดดตามธรรมชาติ เริ่มจากการนำกาแฟเชอร์รีสุกมาตากแดดบนพื้นคอนกรีตที่มีความร้อน หรือบางพื้นที่ใช้โต๊ะยาวสานด้วยไม้หรือกรุผิวหน้าด้วยตาข่ายตาถี่ ซึ่งจะช่วยให้อากาศไหลผ่านได้ดี คอยพลิกกลับเพื่อให้แห้งอย่างทั่วถึง ใช้ระยะเวลาประมาณ 30-40 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ จนกระทั่งความชื้นเหลือไม่เกิน 12 % จะได้ผลกาแฟเชอร์รีแห้ง ก่อนนำไปเข้าเครื่องสี (Hulling Machine) สีออกทั้งเปลือกและกาแฟกะลา (Parchment Coffee) จนได้เมล็ดกาแฟสาร (Green Bean Coffee) ก่อนส่งออกไปยังโรงคั่วหรือผู้ซื้อต่อไป

Natural Process หรือ Dry Process เปรียบเทียบกาแฟเชอร์รีสดกับกาแฟเชอร์รีแห้ง

รสสัมผัส : ด้วยกระบวนการตากแห้งกาแฟเชอร์รีทั้งผล ทำให้เมล็ดกาแฟได้ดูดเอารสชาติจากผลเข้าไป ทำให้มีรสในโทนผลไม้มากกว่ากระบวนการอื่นๆ เช่น บลูเบอร์รี แรสเบอร์รี หรือสตรอว์เบอร์รี และ Body สูง

กระบวนการผลิต Natural Process หรือ Dry Process โดย Cafe Imports

2. Washed Process หรือ Wet Process

เป็นกระบวนการ Process กาแฟที่ถูกพัฒนาขึ้นในพื้นที่ที่ไม่สามารถตากแดดจนแห้งเหมือน Natural Process จึงเป็นกระบวนการที่ใช้น้ำเป็นหลัก ซึ่งกระบวนการต่างๆ จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ แต่หลักๆ แล้วเริ่มจากการปอกเปลือก (Pulping) จากนั้นจึงนำกาแฟกะลาที่มีเมือกหุ้ม (Mucilage) ไปแช่หมักข้ามคืนในน้ำจนเกิดปฏิกิริยา Fermentation จนเมือกสลายออก จากนั้นนำไปล้างเมือกที่ยังเหลือออกให้เหลือแต่กาแฟกะลา (Parchment Coffee) ก่อนนำไปตากแดดจนแห้ง เหลือความชื้นไม่เกิน 11% ใช้เวลาประมาณ 7-14 วันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ แต่จะใช้เวลาน้อยกว่าการตากทั้งผลมาก จากนั้นจึงนำไปเก็บไว้ในรูปแบบกาแฟกะลา จนกว่าจะมีการสั่งซื้อ จึงจะนำออกมาสีกาแฟกะลาออกจนได้เมล็ดกาแฟสาร (Green Bean Coffee) ก่อนส่งออกไปยังโรงคั่วหรือผู้ซื้อนั่นเอง กระบวนการนี้มีข้อเสียตรงที่ใช้น้ำค่อนข้างเยอะ แต่ได้กาแฟที่มีคุณภาพสูง และลดความเสี่ยงของการเน่าระหว่างตากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Washed Process หรือ Wet Process กระบวนการแช่หมัก หรือ Fermentation

รสสัมผัส : รสสะอาด,  Acidity สูง และ  Body ต่ำ

กระบวนการผลิต Washed Process หรือ Wet Process โดย Cafe Imports

3. Honey Process

กระบวน Process กาแฟ ที่ไม่มีน้ำผึ้งเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย แต่คือความหวานหอมที่เปรียบได้กับน้ำผึ้งนั่นเอง โดยเริ่มจากการปอกเปลือก (Pulping) ให้เหลือแต่กาแฟกะลาที่มีเมือกหุ้ม (Mucilage) นำไปตากแดดและคอยพลิกกลับจนแห้งอย่างทั่วถึงจนได้กาแฟกะลาแห้ง (Parchment Coffee) โดยสีที่ได้จะเข้มหรืออ่อนแตกต่างกันไปตามระดับความหนาของเมือกที่เหลือไว้ก่อนตาก และส่งผลต่อรสชาติของกาแฟที่ได้ ก่อนที่จะนำไปเก็บไว้รอการนำมาสี (Hulling) จนได้เมล็ดกาแฟสาร (Green Bean Coffee) ก่อนนำไปคั่วต่อนั่นเอง

  • Yellow Honey เมือกปานกลาง
  • Red Honey เมือกหนา
  • Black Honey เมือกหนามาก
Honey Process ความแตกต่างระหว่าง Yellow Honey, Red Honey และ Black Honey

รสสัมผัส : Body สูงกว่า Washed Process, Acidity ต่ำ, รสชาติและกลิ่นสะอาด (Clean) หวานคล้ายกลิ่นน้ำผึ้งหรือผลไม้ เพราะเมล็ดกาแฟดูดซึมความหวานจากเมือกที่มีความหวานตามธรรมชาติไว้ ดังนั้นยิ่งเหลือเมือกไว้หนามากเท่าไร ความหวานก็จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้น

กระบวนการผลิต Honey Process โดย Cafe Imports

4. Pulped Natural

เป็นกระบวนการ Process กาแฟที่มีความคล้ายคลึงกับ Honey Process โดยแตกต่างกันตรงที่จะปอกผลกาแฟเชอร์รี (Coffee Cherry) ออกทั้งเปลือกและเมือกจนหมด (Pulping and Demucilaging) จนได้กาแฟกะละ (Parchment Coffee) ก่อนนำไปตากแดด จึงใช้เวลาในการตากที่สั้นกว่ามากนั่นเอง

รสสัมผัส : รสสะอาด (Clean), Acidity ต่ำ และ Body ต่ำ

5. Semi-Washed หรือ Wet-Hulled 

อาจเรียกได้ว่า Sumatra Process กระบวนนี้จะพบได้ในประเทศที่มีฝนตกและมีความชื้นสูง เช่น หมู่เกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย หรือเวียดนาม จึงทำให้ใช้ระยะเวลาในการตากนานไม่ได้ จึงต้องนำไปสีทั้งที่ยังชื้น (Wet Hulled) จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟในแถบนั้น

กระบวนการ Process กาแฟแบบผสมผสานนี้ เริ่มเหมือนกับ Washed Process จนถึงการแช่หมักขจัดเมือก (Fermentation and Wash) แต่จะทำให้แห้งโดยการตาก 2 รอบ คือตากกาแฟกะลาจนเหลือความชื้น 30-35% หรือตากกึ่งแห้ง (Semi-Dring) โดยใช้เวลาไม่ถึงวันหรือเต็มวันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และนำไปสีเลย (Wet-Hulled) จนได้เมล็ดกาแฟสาร (Green Coffee Bean) จากนั้นจึงนำไปตากอีกครั้งจนแห้ง เหลือความชื้น 11-12% ก่อนจะนำไปเก็บไว้เพื่อรอส่งออกไปยังโรงคั่วหรือผู้ซื้อต่อไป

Semi-Washed หรือ Wet-Hulled  การตากเมล็ดกาแฟสองครั้ง

รสสัมผัส : Acidity ต่ำ, เข้มข้น และบางครั้งมีกลิ่นหอมของไม้เมืองร้อนหรือเครื่องเทศอันเป็นลักษณะเฉพาะ

กระบวนการผลิต Semi-Washed หรือ Wet-Hulled โดย Cafe Imports

นอกจากกระบวนการหลักๆ ที่รู้จักกันเป็นสากลทั้ง 5 วิธีนี้ ยังมีวิธีที่แตกต่างกันในรายละเอียดอยู่อีกมากมายในโลกของการผลิตกาแฟ ซึ่งแต่ละพื้นที่ผลิตอันมีความแตกต่างกันทั้งทางภูมิประเทศและภูมิอากาศ ต่างพากันคิดค้นและพัฒนาวิธีการที่เหมาะกับตัวเองที่สุด เพื่อดึงเอาเอกลักษณ์เฉพาะของตนออกมา ทำให้เกิดความหลากหลายของรสชาติกาแฟนั่นเอง ส่วนใครจะชอบแบบไหนหรือวิธีไหนอร่อยกว่ากันนั้นคงตอบได้ยาก ก็คงขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของเรา บางทีการไม่ยึดติดแล้วลองอะไรสิ่งใหม่ ไปเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้การดื่มกาแฟของเราสนุกมากขึ้นอีกหลายเท่านะ 

สรุปกระบวนการแปรรูปกาแฟ Coffee Processing 5 แบบ ได้แก่ Natural Process หรือ Dry Process, Washed Process หรือ Wet Process, Honey process, Pulped Natural และ Semi-Washed Process หรือ Wet-Hulled Process

ข้อมูลอ้างอิง

Share